ตอบคำถาม ไคโรแพรคติก VS กายภาพ ต่างกันยังไง แบบไหนดีกว่า

เมื่อมีอาการปวดเรื้อรัง ไม่ว่าจะปวดหลัง ปวดคอ หรือกล้ามเนื้อตึงจนใช้ชีวิตลำบาก ทำให้ต้องเริ่มมองหาหนทางบรรเทาอาการและรักษาให้หายขาด และในบรรดาทางเลือกมากมาย "ไคโรแพรคติก" กับ "กายภาพบำบัด" มักจะผุดขึ้นมาให้เราสงสัยว่าสองศาสตร์นี้แตกต่างกันอย่างไร และแบบไหนที่ใช่สำหรับอาการของเรา คำตอบคือทั้งสองวิธีมีหลักการต่างกัน และเหมาะกับอาการที่แตกต่างกันออกไป บทความนี้จะพาไปทำความเข้าใจถึงความแตกต่าง ข้อดี ข้อจำกัด และสามารถตัดสินใจได้อย่างมั่นใจว่าแนวทางการรักษาแบบไหนที่จะตอบโจทย์และดูแลร่างกายของคุณได้อย่างเหมาะสมที่สุด

ไคโรแพรคติก คืออะไร

ไคโรแพรคติกหรือการจัดกระดูก เป็นศาสตร์การแพทย์ทางเลือกที่เน้นการดูแลโครงสร้างร่างกาย โดยเฉพาะกระดูกสันหลัง ข้อต่อ และระบบประสาท เพื่อคืนสมดุลให้ร่างกายทำงานได้เต็มที่ การรักษาจะใช้มือเป็นหลักในการจัดปรับข้อต่อ ลดแรงกดทับ และกระตุ้นการไหลเวียนของระบบประสาท โดยมีแนวคิดว่าเมื่อโครงสร้างร่างกายอยู่ในตำแหน่งที่ถูกต้อง ร่างกายจะฟื้นฟูตัวเองได้โดยไม่ต้องพึ่งยาหรือผ่าตัด

หลักการทำงาน

หลักการทำงานของไคโรแพรคติกแบ่งออกได้เป็น 2 ส่วนหลัก ๆ คือ

• การปรับโครงสร้างกระดูกสันหลัง : เน้นการจัดปรับกระดูกสันหลังด้วยมือ (Spinal Manipulation หรือ Adjustment) ให้อยู่ในแนวที่เหมาะสม เพื่อลดการกดทับเส้นประสาทและฟื้นฟูการทำงานของระบบประสาท
• การมุ่งเน้นไปที่ระบบประสาท : ไคโรแพรคติกเชื่อว่าระบบประสาทควบคุมทุกระบบในร่างกาย เมื่อกระดูกสันหลังสมบูรณ์ ระบบประสาทจะทำงานดีขึ้น ร่างกายจึงเยียวยาตัวเองได้ ลดอาการปวดเรื้อรังและอาการชา

ข้อดี

• รักษาโดยไม่ใช้ยาและไม่ผ่าตัด
• ช่วยลดอาการปวดจากปัญหาโครงสร้างกระดูกสันหลัง ข้อต่อ หรือออฟฟิศซินโดรมได้ดี
• ปรับสมดุลโครงสร้างร่างกาย ช่วยให้ระบบประสาททำงานได้เต็มประสิทธิภาพ
• ใช้ระยะเวลาการรักษาค่อนข้างสั้น

ข้อจำกัด

• ไม่เหมาะกับผู้ที่มีภาวะกระดูกพรุนหรือติดเชื้อที่กระดูกสันหลัง
• อาจต้องตรวจเพิ่มเติม เช่น X-ray
• ต้องรับการรักษาจากผู้เชี่ยวชาญที่มีใบอนุญาตและประสบการณ์เท่านั้น

กายภาพบำบัดคืออะไร?

กายภาพบำบัด เป็นการรักษาทางวิทยาศาสตร์ที่เน้นการฟื้นฟูสมรรถภาพร่างกายให้เคลื่อนไหวได้เป็นปกติและปลอดภัย นักกายภาพจะประเมินร่างกายอย่างละเอียด และออกแบบโปรแกรมเฉพาะบุคคล เพื่อบำบัดอาการปวด อักเสบ ข้อติด หรือกล้ามเนื้ออ่อนแรง รวมถึงป้องกันไม่ให้กลับมาเป็นซ้ำ

หลักการทำงาน

หลักการทำงานของกายภาพบำบัดแบ่งออกได้เป็น 3 ส่วนหลัก ๆ คือ

• การออกกำลังกายบำบัด (Therapeutic Exercise) : นักกายภาพบำบัดจะออกแบบโปรแกรมการออกกำลังกายที่เหมาะสมกับแต่ละบุคคล เพื่อเสริมสร้างความแข็งแรง ความยืดหยุ่น และการทรงตัวของกล้ามเนื้อ
• การใช้เครื่องมือทางกายภาพ : มีการใช้เครื่องมือทางการแพทย์ เช่น Ultrasound, Laser, TENS เพื่อลดอาการปวด ลดการอักเสบ และส่งเสริมการฟื้นฟูของเนื้อเยื่อ
• การให้ความรู้และการปรับพฤติกรรม (Patient Education & Ergonomics) : นักกายภาพบำบัดจะให้คำแนะนำเกี่ยวกับการดูแลตนเอง การปรับท่าทางในชีวิตประจำวัน และการป้องกันการบาดเจ็บซ้ำ

ข้อดี

• ครอบคลุมปัญหาการเคลื่อนไหวหลากหลาย
• เน้นการฟื้นฟูและป้องกันอาการกลับมาเป็นซ้ำ
• เหมาะกับผู้ป่วยทุกวัยและทุกสภาพร่างกาย
• ส่งเสริมให้ผู้ป่วยมีส่วนร่วมในการดูแลตนเอง

ข้อจำกัด

• ต้องใช้เวลาในการรักษาต่อเนื่อง
• ผู้ป่วยต้องมีวินัยในการปฏิบัติตามคำแนะนำและออกกำลังกายเอง
• ในบางกรณี อาจต้องรักษาด้วยวิธีอื่นร่วมด้วย

จัดกระดูกกับกายภาพ เลือกแบบไหนดีกว่า

การเลือกระหว่างไคโรแพรคติก(Chiropractic)หรือกายภาพบำบัด (Physical Therapy) ขึ้นอยู่กับลักษณะอาการ สาเหตุของปัญหา และเป้าหมายการรักษาของแต่ละบุคคล โดยสามารถพิจารณาจากแนวทางต่อไปนี้

จัดกระดูก

เหมาะกับอาการปวดหลัง ปวดคอ ไมเกรน หรือออฟฟิศซินโดรม ที่เกิดจากโครงสร้างกระดูกสันหลังและข้อต่อเคลื่อน

กายภาพ

เหมาะกับการฟื้นฟูหลังผ่าตัด บาดเจ็บจากกีฬา อัมพฤกษ์อัมพาต ฟื้นฟูข้อไหล่ ข้อเข่า กล้ามเนื้ออ่อนแรง หรือเมื่อต้องการเสริมความแข็งแรงระยะยาว

สรุป

โดยสรุปแล้ว ไคโรแพรคติกและกายภาพบำบัดต่างเป็นศาสตร์ที่มุ่งเน้นการดูแลสุขภาพ แต่มีจุดเน้นและวิธีการที่แตกต่างกัน ไคโรแพรคติกเน้นการปรับโครงสร้างกระดูกสันหลังเพื่อฟื้นฟูระบบประสาท ขณะที่กายภาพบำบัดเน้นการฟื้นฟูการเคลื่อนไหวและการทำงานของร่างกายผ่านการออกกำลังกายและเครื่องมือต่าง ๆ

หากคุณไม่แน่ใจว่าการรักษาแบบไหนเหมาะกับคุณ เราแนะนำให้มาตรวจประเมินร่างกายที่ Prohealth Chiropractic Bangkokเพื่อรับคำแนะนำที่ถูกต้องและวางแผนการรักษาที่ตอบโจทย์ความต้องการของคุณมากที่สุด